ข่าวสารและกิจกรรม

สมาคมประกันวินาศภัยไทย สกัดเคลมจัดฉากฉ้อฉลประกันภัย หวังเคลมเงินประกันกว่า 14 ล้าน พบพิรุธทำประกันภัยซ้ำซ้อน 28 ฉบับ

สมาคมประกันวินาศภัยไทย สกัดเคลมจัดฉากฉ้อฉลประกันภัย หวังเคลมเงินประกันกว่า 14 ล้าน พบพิรุธทำประกันภัยซ้ำซ้อน 28 ฉบับ

14 มีนาคม 2568 กิจกรรมส่วนกลาง
ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวว่า จากกรณีที่มีข่าวกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมฉ้อฉลประกันภัย จัดฉากอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชนคนเสียชีวิต และมีการแจ้งเคลมเงินประกันภัยจำนวนกว่า 14 ล้านบาท โดยเหตุเกิดที่บ้านนาบัว-เจริญศิลป์ ต.ธาตุ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร เมื่อช่วงค่ำวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งตำรวจสกลนคร ได้จับกุมผู้ต้องหาที่จัดฉากฆาตกรรมอำพราง หนุ่มวัย 32 ปี ทำเป็นอุบัติเหตุรถยนต์ตกท้ายกระบะ ก่อนที่รถอีก 2 คันขับตามทับร่างเสียชีวิต บริษัทประกันภัยได้พบความผิดปกติจากพฤติกรรมที่อาจจะเข้าข่ายหรือมีสัญญาณเตือนการเกิดทุจริต หรือฉ้อฉลประกันภัยเกิดขึ้น ทั้งนี้ การจัดฉากเป็นอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชน 3 คัน พบว่ารถดังกล่าวมีการทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (ประกันภัย พ.ร.บ.) และประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ รวม 28 กรมธรรม์ จากจำนวน 15 บริษัท มีวงเงินความคุ้มครองรวมกว่า 14 ล้านบาท ซึ่งปรากฏเป็นข่าวดังในสื่อต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ภาคธุรกิจประกันภัยพบประเด็นที่เป็นความผิดปกติและพฤติกรรมที่อาจจะเข้าข่ายฉ้อฉลหรือมีสัญญาณเตือนการเกิดทุจริตฉ้อฉลประกันภัย เริ่มจากเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 ได้มีบุคคลที่ได้รับมอบอำนาจจากทายาทของผู้เสียชีวิตยื่นเอกสารขอเบิกค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดมุกดาหารผ่านทางบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด สาขามุกดาหาร ซึ่งทำหน้าที่รับคำร้องแทนบริษัทประกันภัยต่าง ๆ และบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยรถ จำกัด สาขามุกดาหาร จึงได้ทำการตรวจสอบข้อมูลรถคันเกิดเหตุ พบว่ามีการเอาประกันภัย โดยมีกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับหลายฉบับ จึงได้ทำการบันทึกรับแจ้งเหตุ แต่ยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรอเอกสารจากผู้เสียหายเพิ่มเติม เพื่อพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทนต่อไป
จากนั้นได้มีการประสานกับบริษัทประกันภัยอื่น ๆ ที่มีการรับประกันภัยรถคันดังกล่าวเพิ่มเติมเพื่อตรวจสอบข้อมูลระหว่างกัน ซึ่งจากการวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกันระหว่างบริษัทประกันภัยและบริษัทกลางฯ พบว่า พฤติกรรมดังกล่าวนั้นมีความผิดปกติและอาจเข้าข่ายฉ้อฉล เนื่องจากมีการทำประกันภัยหลายฉบับในระยะเวลาใกล้เคียงกันและก่อนวันเกิดเหตุไม่กี่วัน และมีการยื่นเคลมค่าสินไหมทดแทนหลายในหลายพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีการมอบอำนาจให้บุคคลอื่นดำเนินการแทนด้วย จึงเป็นที่มาของการตรวจสอบร่วมกัน และประสานงานไปยังสำนักงาน คปภ. และเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ ส่งผลให้เกิดกระบวนการสืบสวน สอบสวนและนำไปสู่การจับกุมผู้ร่วมกระทำความผิดจำนวนหลายรายในข้อหาร่วมกันฆาตกรรมผู้ประสบภัยซึ่งเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว
จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ หากภาคธุรกิจประกันวินาศภัยไม่พบพฤติกรรมที่เข้าข่ายการฉ้อฉลประกันภัย บริษัทประกันภัยที่รับประกันภัยในครั้งนี้ จะต้องมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนของรถทั้ง 3 คันที่ทำประกันภัยจากทั้งหมด 15 บริษัท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 14,100,000 บาท โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) จำนวน 22 ฉบับ ความคุ้มครองกรณีเสียชีวิต 500,000 บาทต่อฉบับ รวมมูลค่า 11,000,000 บาท
2. กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ จำนวน 6 ฉบับ ความคุ้มครองกรณีเสียชีวิต 500,000 บาทต่อฉบับ รวมมูลค่า 3,000,000 บาท
3. การประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (ร.ย.01) จำนวน 1 ฉบับ ความคุ้มครอง 100,000 บาท
และบริษัทประกันภัยจะต้องดำเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทนจากอุบัติเหตุที่เกิดจากรถโดยเร็ว เพื่อเป็นการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยและทายาท โดยระยะเวลาของการจ่ายค่าสินไหมทดแทนของกรมธรรม์ประกันภัย พ.ร.บ. ต้องจ่ายภายใน 7 วัน และกรมธรรม์ประกันภัยภาคสมัครใจ ภายใน 15 วันหลังจากได้รับเอกสารครบถ้วนสมบูรณ์ แต่สำหรับเหตุการณ์นี้ บริษัทประกันภัยมีการเรียกร้องเอกสารเพิ่มเติม เพื่อประกอบการพิจารณาค่าสินไหมทดแทน และคาดว่าอาจจะเข้าข่ายเป็นการทุจริตฉ้อฉลประกันภัย ซึ่งเป็นข้อยกเว้นของกรมธรรม์ประกันภัยอย่างชัดเจน จึงได้ประสานงานกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีหนังสือแจ้ง คปภ. ให้มีคำสั่งชะลอการจ่ายค่าสินไหมทดแทนในกรณีนี้ออกไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม กรณีที่บริษัทประกันภัยพบว่ามีการทุจริตหรือฉ้อฉลประกันภัยเกิดขึ้น เช่น มีผู้เรียกร้องผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยโดยทุจริต หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จในการเรียกร้องเป็นการกระทำความผิด ตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 มาตรา 108/4 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ หรือมีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนโดยฉ้อฉล บริษัทไม่ต้องรับผิดสำหรับการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจากการฉ้อฉลหรือทุจริต ซึ่งผู้เอาประกันภัยหรือบุคคลที่ทำแทนผู้เอาประกันภัยได้กระทำเพื่อให้ได้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย และบริษัทประกันภัยอาจใช้สิทธิบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยได้ทันที โดยไม่คืนเบี้ยประกันภัย
นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาธุรกิจประกันภัยพบกรณีการฉ้อฉลประกันภัยและมีการดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายมาแล้ว อาทิ กรณีเสี่ยตัดนิ้วเพื่อเคลมประกันที่โด่งดังในอดีต ซึ่งมีการสืบหาข้อมูลได้ว่าเจ้าตัวมีการวางแผนทำประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) ไว้หลายบริษัท เป็นเงินรวมนับสิบล้านบาท การจัดฉากรถชนกัน หรือการเอาน้ำร้อนลวกขาทั้งสองข้าง เพื่อสร้างเรื่องให้เป็นอุบัติเหตุหวังเงินประกัน เป็นต้น
ทั้งนี้ รวมถึงกรณีที่มีกลุ่มคนตระเวนซื้อกรมธรรม์ประกันภัยเป็นจำนวนหลายฉบับจากหลายบริษัท การกระทำในลักษณะนี้ถือว่าไม่ใช่การบริหารความเสี่ยงภัยของตัวเอง แต่เป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ซึ่งกลุ่มคนที่มีความคิดและกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการกระทำทุจริตในการฉ้อฉลประกันภัย สมาคมฯ จึงขอเตือนกลุ่มคนที่กระทำการในลักษณะนี้ว่า การประกันภัยจะให้ความคุ้มครองเฉพาะผู้เอาประกันภัยที่ใช้สิทธิโดยสุจริตเท่านั้น หากพิสูจน์ได้ว่าใช้สิทธิโดยไม่สุจริตมาทำประกันภัย เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและจะไม่ได้รับค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยแน่นอน
ในกรณีเช่นนี้ขอให้ผู้บริโภคตระหนักว่า “การประกันภัยนั้นเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง ไม่ใช่เครื่องมือในการใช้หาผลประโยชน์ในทางมิชอบ” ใครมีความเสี่ยงเท่าไหร่ก็ซื้อประกันภัยให้เหมาะสม ครอบคลุมกับความเสี่ยงของตัวเอง การซื้อประกันภัยจำนวนมากแล้วไปแสวงหาผลประโยชน์ในทางมิชอบถือเป็นการกระทำที่ทุจริตและเป็นการฉ้อฉลประกันภัย “หลักการประกันภัยเป็นการให้ความคุ้มครองประชาชนผู้สุจริตให้มีหลักประกันช่วยบรรเทาความสูญเสีย ความเสียหายทางการเงินเพื่อให้ผู้ประสบภัยได้รับค่าสินไหมทดแทน ใช้ประกันภัยเป็นเครื่องมือในการดูแลตัวเองในยามที่ประสบเคราะห์ร้ายให้สามารถดำรงชีวิตต่อได้
ท้ายนี้ สมาคมประกันวินาศภัยไทยขอความร่วมมือประชาชน หากพบเห็นพฤติกรรมฉ้อฉล สามารถแจ้งไปยังสมาคมประกันวินาศภัยไทย หรือบริษัทประกันภัยที่เกี่ยวข้อง ใช้ประกันภัยอย่างถูกต้องและสุจริต เพื่อปกป้องสิทธิของตัวท่านเองและรักษาเสถียรภาพของอุตสาหกรรมประกันภัย สมาคมฯ พร้อมเดินหน้าสร้างความโปร่งใสในอุตสาหกรรมประกันภัย และร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเฝ้าระวังพฤติกรรมฉ้อฉลประกันภัย พร้อมทั้งให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับความสำคัญของการใช้ประกันภัยอย่างถูกต้อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับระบบประกันภัยของไทย นายกสมาคมฯ กล่าวทิ้งท้าย